จากกรณีรัฐบาลเปิดทำเนียบขายหน้ากากอนามัยให้กับประชาชน หลังประชาชนมีความต้องการจำนวนมาก ต่างเดินทางมารอเข้าคิวกันคึกคัก โดยมีการเปิดจำหน่ายในเวลา 10.00 น. บริเวณประตู 6 ทำเนียบรัฐบาล และฝั่งตรงข้ามประตู 4 บริเวณศูนย์บริการประชาชน จะจำหน่ายวันละ 10,000 ชิ้น ทั้งหมด 15 วัน มีการจำกัดการซื้อคนละ 1 ชุด จำนวน 10 ชิ้น ในราคา 25 บาท เฉลี่ยราคาชิ้นละ 2.50 บาท นั้น
ขอบคุณภาพข่าว เรื่องเด่นเย็นนี้
ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กท่านหนึ่ง ถือแถน ประสพโชค ได้โพสต์ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับราคาดังกล่าว มีคนแชร์และแสดงความคิดเห็นกันมากมาย ...เนื้อหาว่า
ดูข่าวทีแรกตั้งแต่เมื่อคืนก็รู้สึกว่า ไม่ใช่แล้ว เพราะราคาของหน้ากากอนามัยชนิดใช้แล้วทิ้ง ราคาปกติไม่น่าจะแพงขนาดนี้
เลยไปดูข้อมูลการซื้อของหน่วยราชการที่ซื้อในวันเวลาที่ซื้อใกล้เคียงที่สุด
ที่ซื้อล่าสุดและอยู่ในกรุงเทพก็คือ ของโรงพยาบาลภูมิพลจัดซื้อจำนวน 18,000 กล่อง บรรจุกล่องละ 50 ชิ้น ราคารวม 499,860 บาท
คิดเป็นราคาต่อกล่อง อยู่ที่กล่องละ 27.77 บาท หนึ่งกล่องมี 50 ชิ้น ก็ตกชิ้นละ 55 สตางค์
เป็นการประกาศผลการจัดซื้อจัดจ้างเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2563 หรือ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง
รัฐบาลเป็นคนออกประกาศให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุมเอง แต่เอามาขายในราคาที่ชี้นำและขึ้นราคาไปเองถึง 4-5 เท่าของราคาที่ซื้อขายกันปกติก่อนที่จะมีการขาดแคลนและโก่งราคากัน
แม้เดิมราคาซื้อปลีกของชาวบ้านจะไม่ถูกขนาดโรงพยาบาลซื้อเพราะเขาซื้อเป็นหมื่นๆกล่อง แต่ราคาทั่วไปเดิมก็อยู่ที่ 45-50 บาทต่อกล่อง ก่อนจะขาดแคลนก็ไม่เกิน 70 บาทต่อกล่อง
แต่ราคาที่รัฐบาลจะจัดอีเว้นท์ขายที่ทำเนียบในวันนี้ คือ ราคาที่ 125 บาท/กล่อง คือ แพงกว่าราคาปกติถึง 2.5 เท่า
นี่ไม่นับรวมค่าเดินทางที่ประชาชนที่ต้องจ่ายเดินทางไปซื้อที่ทำเนียบ ไม่รู้อีกคนละเท่าไหร่
รัฐประกาศให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม ที่ต้องคุมทั้งราคา ทั้งปริมาณการครอบครองจัดเก็บ แต่รัฐบาลประยุทธ์คุมราคาเองแล้วก็ขึ้นราคาเองไปถึง 2.5 เท่า
วิธีการทำงาน วิธีการจัดการ มันสะท้อนประสิทธิภาพในการบริหารในทุกๆเรื่องว่า อ่อนด้อยไร้สามารถ ไร้ประสิทธิภาพ
แก้ปัญหาแต่ละอย่างแบบอ่อนด้อยปัญญา ดีแต่จัดอีเว้นท์ใช้งบไปวันๆแบบนี้ มาตลอด
อยู่ในอำนาจมาห้าหกปีจึงพาบ้านเมืองเสื่อมทรุดลงในทุกด้าน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ไม่มีความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น